เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
Toggleใครบ้าง? ที่สามารถผ่าตัดแปลงเพศได้
นี่เป็นเพียงข้อกำหนดบางส่วน สำหรับผู้ที่สนใจ ผ่าตัดแปลงเพศ ควรเข้าพบแพทย์ เพื่อขอคำปรึกษาและคำแนะนำเพิ่มเติม
อายุ 20 ปีขึ้นไป ในกรณีที่อายุไม่ถึง 20 ปี ต้องให้ผู้ปกครองเซ็นต์เอกสารยินยอม
ต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
ผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ ต้องเข้าพบจิตแพทย์เพื่อทำแบบทดสอบเพื่อให้จิตแพทย์ออกใบอนุญาตให้เข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศได้
ต้องได้รับฮอร์โมนเพศหญิง ต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี
ต้องเป็นผู้ที่ดำรงชีวิตประจำวัน และมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นหญิงไม่น่อยกว่า 1 ปี
ลูกสาวเอเซีย
*ขอดูรูปภาพรีวิวก่อน-หลัง ได้ทาง Line ของโรงพยาบาลค่ะ
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ทางไลน์ ฟรี!!

ก่อนการ ผ่าตัดแปลงเพศ ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
- เข้าพบแพทย์ เพื่อตรวจร่างกาย และประเมินความพร้อมของร่างกาย
- แจ้งแพทย์ว่ารับประทานยาตัวไหนที่รับประทานอยู่ เพราะแพทย์จะดูตามความเหมาะสม อาจจะต้องหยุดยาหรือเปลี่ยนยาก่อนเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ
- งดฮอร์โมน 2 อาทิตย์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
- รับประทานอาหารอ่อนๆ ในช่วง 3 วันก่อนเข้ารับการผ่าตัด เพื่อให้ร่างกายขับถ่ายน้อยลง
เทคนิคการ ผ่าตัดแปลงเพศ (แปลงเพศชายเป็นหญิง)
เทคนิคการ ผ่าตัดแปลงเพศ ที่โรงพยาบาลเอเซีย โดยการสร้างช่องคลอดใหม่ แบ่งออกเป็นดังนี้
SRS 0 เป็นการผ่าตัดเพียงภายนอกเท่านั้น ไม่มีช่องคลอด ซึ่งการแปลงเพศแบบนี้เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์หรือมีโรคประจำตัว
SRS 0.5 การผ่าตัดเพื่อแก้ไข ในกรณีที่เคยทำการผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วแต่ต้องแก้ไขใหม่เพื่อให้สวยงามมากขึ้น เป็นการผ่าตัดเฉพาะภายนอก
SRS 1 การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต สำหรับวิธีนี้จะนำผิวหนังบริเวณองคชาตมาตกแต่งสร้างเป็นช่องคลอด วิธีการนี้เป็นที่นิยม เพราะไม่ซับซ้อนสามารถทำได้ง่าย และภาวะแทรกซ้อนต่ำ
ข้อดี : สำหรับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เทคนิคสามารถทำได้ง่าย ขั้นตอนและวิธีการผ่าตัดไม่ซับซ้อน ใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 4 ชั่วโมง และหลังการผ่าตัดใช้เวลาพักฟิ้นประมาณ 4 วัน
ข้อเสีย : ความลึกของช่องคลอดขึ้นอยู่กับความยาวขององคชาต ดังนั้นเทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่มีองคชาตยาวกว่า 4 นิ้ว เพราะหากความยาวขององคชาตสั้นกว่า 4 นิ้ว จะส่งผลให้ช่องคลอดตื้น
SRS 2 การผ่าตัดแปลงเพศ ด้วยเทคนิคสร้างช่องคลอดโดยใช้ผิวหนังจากองคชาต และผิวหนังจากถุงอัณฑะ หรือผิวหนังบริเวณอื่นๆ สร้างเป็นผนังช่องคลอด
เทคนิคนี้จะนำผิวหนังบริเวณองคชาตต่อเข้ากับผิวหนังจากถุงอัณฑะ เพื่อเพิ่มความลึกของช่องคลอด ในกรณีที่ช่องคลอดยังลึกไม่เพียงพอนั้น ศัลแพทย์จะนำผิวหนังบริเวณอื่น เช่น ผิวหนังบริเวณขาหนีบ หน้าท้อง หรือต้นขา มาต่อเพื่อเพิ่มความลึกให้กับช่องคลอด
ข้อดี : สำหรับผู้ที่มีองคชาตสั้น ทำให้สร้างผนังได้ไม่ลึก สามารถผ่าตัดแปลงเพศโดยวิธีนี้เพื่อให้ได้ช่องคลอดที่ลึกจนเพียงพอ
ข้อเสีย : ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศนั้นค่อนข้างซับซ้อน ต้องใช้ประสบการณ์และความชำนาญของแพทย์ ซึ่งเทคนิคใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 6 ชั่วโมง และหลังการผ่าตัดใช้เวลาพักฟิ้นประมาณ 6 วัน
SRS 3 การผ่าตัดแปลงเพศด้วยเทคนิคสร้างช่องคลอดโดยใช้ลำไส้ใหญ่
เทคนิคนี้เป็นการผ่าตัดแปลงเพศที่สมบูรณ์แบบและเหมือนผู้หญิงมากที่สุด เทคนิคสามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับผู้ที่เคยผ่าตัดแปลงเพศมาแล้ว แต่ช่องคลอดเกิดการตีบตัน ทำให่ไม่สามารถร่วมเพศได้ เพราะตามธรรมชาติลำไส้ใหญ่จะมีน้ำหล่อลื่น และสามารถทำให้ช่องคลอดลึกได้มากที่สุดเท่าที่ควรจะเป็น สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้
SRS 4 แก้ไขและสร้างช่องคลอดใหม่โดยใช้ลำไส้ เทคนิคนี้เหมาะกับผู้ที่เคยผ่าตัดแปลงเพศมาแล้วและต้องการแก้ไข โดยศัลยแพทย์จะนำของเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้าออก และใช้ลำไส้ใหญ่ในการสร้างช่องคลอดขึ้นมาใหม่
ขั้นตอนการผ่าตัดแปลงเพศ
- ก่อนการผ่าตัดแปลงเพศแพทย์จะให้ยาสลบแก่ผู้เข้ารับการผ่าตัด
- เริ่มการผ่าตัดสร้างช่องคลอดโดยการเจาะกล้ามเนื้อให้มีความลึกประมาณ 6-7 นิ้ว (กล้ามเนื้อบริเวณระหว่างท่อปัสสาวะกับทวารหนัก)
- หลังจากเจาะช่องคลอดแล้ว ศัลยแพท์จะสร้างผนังช่องคลอด โดยใช้ผิวหนังบริเวณองคชาต หรือผิวหนังจากถุงอัณฑะมาสร้างผนังช่องคลอด
- เมื่อสร้างผนังช่องคลอดแล้ว ศัลยแพทย์จะสร้างคลิตอริสหรือปุ่มรับความรู้สึกทางเพศ โดยทำการเก็บเส้นประสาทรับความรู้สึกแล้วตัดแกนองคชาตออก
- ขั้นตอนต่อไปเป็นการตัดต่อและตกแต่งท่อปัสสาวะ โดยศัลแพย์จะตัดท่าปัสสาวะให้สั้นลง และทำการตกแต่งให้สามารถปัสสาวะได้เหมือนเพศหญิง ขั้นตอนนี้ต้องใช้ความชำนาญเป็นพิเศษเพราะหากทำการผ่าตัดไม่ดีเวลาปัสสาวะอาจจะทำให้ปัสสาวะพุ่งขึ้นได้
- ตกแต่งภายนอกเพื่อความสมบูรณ์แบบและสวยงามให้เหมือนอวัยวะเพศหญิงมากที่สุด ได้แก่ แคมนอก (Major Labia), แคมใน (Minor Labia), ท่อปัสสาวะ และจุดรับสัมผัส (Clitoris) เพื่อให้สามารถรับความรู้สึกและมีความรู้สึกทางเพศได้เหมือนเดิม
การดูแลหลังการผ่าตัดแปลงเพศ
หลังการผ่าตัดคนไข้ต้องนอนพักฟื้นที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 4-6 วัน เพื่ออยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้
- หลังผ่าตัดแปลงเพศ 2 วันแรก คนไข้ควรนอนยกสะโพกสูง และแยกขาทั้งสองข้างออกเล็กน้อย เพื่อลดอาการบวมบริเวณผ่าตัด
- หลังผ่าตัดแปลงเพศ 2 วันแรก ควรนอนหงาย วันที่ 3 สามารถนอนตะแคงได้
- หลังผ่าตัดแปลงเพศ 2 วันแรก ควรงดรับประทานอาหารที่กระตุ้นการขับถ่าย เช่น โยเกิร์ต นม นมเปรี้ยว น้ำผลไม้ เป็นต้น เพราะอาหารเหล่านี้มีกากใยเยอะจะไปกระตุ้นการขับถ่าย
- หลังผ่าตัดแปลงเพศวันที่ 4 แพทย์ทำความสะอาดแผล ถอดสายระบายเลือดเสียและสายสวนปัสสาวะออก
* ผู้ที่ผ่าตัดแปลงเพศ SRS 1 (ใช้ผิวหนังจากองคชาต) สามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ และกลับมาพบแพทย์อีกครั้งในวันที่ 7 เพื่อตัดไหมออก ส่วนผู้ที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ SRS 2,SRS 3,SRS 4 แพทย์จะยังไม่ถอดสายสวนปัสสาวะออก คนไข้ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลอีก 2 วัน
- ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศโดยใช้ลำไส้ใหญ่ในการสร้างผนังช่องคลอด ต้องงดอาหารและน้ำหลังการผ่าตัดจนกว่าจะมีการผายลม จึงจะจิบน้ำและรับประทานอาหารเหลวได้
- หลังผ่าตัดแปลงเพศวันที่ 6 ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ SRS 2,SRS 3,SRS 4 แพทย์จะทำความสะอาดแผลอีกครั้งและเอาผ้าปิดแผลออก
- หลังผ่าตัดแปลงเพศวันที่ 7 ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ SRS 2,SRS 3,SRS 4 แพทย์จะถอดสายสวนปัสสาวะออก และให้คนไข้กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้
- ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดแปลงเพศ SRS 2,SRS 3,SRS 4 ต้องมาพบแพทย์อีกครั้งตามกำหนดเพื่อตัดไหมและขยายช่องคลอด
- ผู้รับการผ่าตัดต้องดูแลและทำความสะอาดแผล และขยายช่องคลอดทุกวัน วันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย จนกว่าแผลภายในช่องคลอดและแผลภายนอกจะหายสนิท
- งดมีเพศสัมพันธ์หลังเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 2 เดือน
- เพื่อติดตามอาการและประเมิณผล หลังการผ่าตัดควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
Tags: ศัลยกรรม, MTF, ผ่าตัดแปลงเพศ